การปรากฏตัวของนักเขียนหนุ่ม
ชายหนุ่มผมหยิกยาว ร่างสูงกำยำ ผิวเนื้อดำแดงคุ้นตาเขามากเหมือนเคยพบที่ไหนสักแห่ง พยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออก เหมือนศิลปินเร้กเก–บ๊อบ มาร์เลย์ ที่เขาเคยเห็นในหนังสือดนตรี โปสเตอร์ และปกเทป ชายคนนั้นกำลังทักทายอยู่กับชายผิวขาวร่างสูงโปร่ง สวมแว่นตา ดูอ่อนวัยกว่า ทั้งที่ความจริงแก่กว่าเกือบสิบปีได้กระมัง เขาจำชายคนนี้ได้ อ้อ นักเขียนดับเบิลซีไรต์นั่นเอง คนทั้งสองสนทนากันอย่างออกรส จากนั้นก็นั่งเคียงคู่กันหลังโต๊ะยาว มีกองหนังสือของแต่ละคนวางคู่กันตรงหน้า
เขาจ้องมองคนทั้งสองอยู่เป็นครู่ คนใส่แว่นน่ะรู้แล้วว่าคือใคร แต่คนผมยาวนั่นล่ะยังคิดไม่ออก เขาอาจจะต้องคิดต่อไปอีกนานหากว่าไม่มีเด็กหนุ่มกลุ่มหนึ่งร้อง “เฮ้ย นั่นพี่หนกนี่หว่า” เขาไม่อยากเชื่อที่จู่ๆ ก็ได้พบนักเขียนที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวเองพร้อมกันถึงสองคน แถมยังเป็นนักเขียนซีไรต์ทั้งคู่ด้วยสิน่า
ลมอะไรหนอหอบคนทั้งสองมานั่งเคียงคู่กันได้?…
เขายังคงตะลึงพรึงเพริดกับการปรากฏตัวของนักเขียนหนุ่มผมยาวด้วยไม่เคยคิดฝันว่าจะมีโอกาสได้พบเห็นตัวเป็นๆ เช่นนี้ เป็นอาการเดียวกับที่ได้พบนักเขียนคนใส่แว่นก่อนหน้า ใช่, มันเป็นอาการเดียวกันที่เขาชั่งใจอยู่นานเลยทีเดียวว่าจะเข้าไปพูดคุยทักทายดีไหม มันไม่ใช่ความกลัว เพียงแต่รู้สึกว่าช่องว่างระหว่างนักเขียนกับนักอ่านนั้นกว้างไป กว้างเสียจนไม่กล้าเข้าไปพูดคุยอย่างสนิทสนมได้ ทำไมจึงคิดอย่างนั้นเขาเองก็ไม่รู้หรอก อยากรู้เหมือนกันว่าคนอื่นเป็นเหมือนเขาบ้างไหม?… เขาอาจเป็นอยู่คนเดียว ดูนั่นสิ เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นกำลังพูดคุยกับพี่เขาอย่างสนิทสนม คงเคยพบกันมาบ้างแล้วพวกเขาจึงไม่มีอาการเก้อเขินแต่อย่างใด
ไม่นานนักบรรดาแฟนๆ ของนักเขียนทั้งสองต่างทยอยเข้าไปพบปะพูดคุยและซื้อหนังสือ แน่ละ ในหนังสือจะต้องมีลายเซ็นของผู้เขียนประทับเป็นที่ระลึก เขาอยากอุดหนุนนักเขียน ซื้อหนังสือของนักเขียนทั้งสองแต่ก็ต้องสลัดความอยากนั้นทิ้งไป ใกล้ปลายเดือนเต็มทีเงินในกระเป๋าสตางค์สามารถใช้จ่ายได้อย่างจำกัดจำเขี่ย ถึงขนาดต้องเอาจำนวนเงินที่มีทั้งหมดหารด้วยจำนวนวันที่เหลือตกวันละร้อยกว่าบาท อย่างนี้แล้วจะซื้อหนังสือได้อย่างไร
พลันวาบความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา เขาเปิดกระเป๋าสะพายหวังหยิบ จดหมายจากนักเขียนหนุ่ม ไปให้พี่เขาเซ็นชื่อ จะถือโอกาสพูดคุยด้วย หนังสือเล่มนี้จะช่วยลดความกระดากใจลงไปได้บ้าง พี่เขาคงไม่คิดมากหรอกก็หนังสือของเขาเหมือนกัน
แต่ทว่ามันหายไป! หายไปไหน?
เขาพยายามทบทวนความจำว่าเอาหนังสือเล่มนั้นออกจากกระเป๋าไปเมื่อไหร่กัน ค่อนข้างแน่ใจล้านล้านเปอร์เซ็นต์ว่ายังไม่เคยหยิบออกจากกระเป๋า แล้วมันหายไปไหน หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หมดกัน… แล้วจะเข้าไปคุยกับพี่เขาอย่างไรในเมื่อไม่มีหนังสือ เขารู้สึกกระดากใจหากเข้าไปมือเปล่าแล้วจู่ๆ ก็บอกว่า “ผมเป็นแฟนหนังสือของพี่ครับ”
แฟน?… นี่ก็เป็นคำที่น่าวิตกเหมือนกันหากถูกพี่เขาลองภูมิ
“หนังสือพี่มีกี่เล่ม ชอบเล่มไหน เล่มไหนของพี่ที่ได้ซีไรต์ แล้วได้ปีอะไรรู้ไหม?”
“สะพานขาด” เขาจะบอกชื่อหนังสือเล่มนี้ ตามด้วยเรื่องที่ชอบมาก โลกใบเล็กของซัลมาน ส่วนจะเล่มไหนที่ได้ซีไรต์เขาไม่แน่ใจ เมื่อไม่แน่ใจก็ไม่จำเป็นต้องบอก ขืนบอกไปแล้วไม่ถูกพี่เขาอาจเสียใจ เขาไม่ชอบตอบคำถามมั่วๆ ซั่วๆ หากมั่วไปแล้วถูกมันก็ดี หากไม่ก็เหมือนอวดฉลาด
เขาถามตัวเองว่าจำเป็นไหมที่จะต้องรู้เรื่องเกี่ยวกับนักเขียนไปหมดทุกเรื่อง เพื่ออะไร? เพื่อประกาศตัวเป็นแฟนพันธุ์แท้อย่างนั้นหรือ รู้แล้วจะก่อเกิดประโยชน์อันใดกับชีวิตก็หาไม่ เรื่องบางเรื่องของคนอื่นไม่ต้องรู้ก็ได้ เขาเชื่อว่าพี่เขาคงไม่มากเรื่องขนาดนั้นหรอก เท่าที่อ่านจดหมายที่พี่เขาเขียนถึงเพื่อนนักเขียนด้วยกันแล้วเขาเชื่อมั่นว่าพี่เขาก็เป็นคนธรรมดาๆ เหมือนเขาเหมือนนักอ่านทั่วไปนั่นแหละ แต่… มีแต่อีกแน่ะ เขาจะรีบด่วนสรุปอย่างนั้นไม่ได้ ในเมื่อยังไม่รู้จริง ความเชื่อของเขาคงเป็นได้เพียงมายาภาพที่ปลุกปลอบใจตัวเองเท่านั้น
แฟนๆ นักอ่านของนักเขียนทั้งสองเพิ่มมากขึ้น ทยอยมาไม่ขาดสายจนกลายเป็นแถวยาวสองแถว แถวของพี่เขามากกว่าเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่าแฟนเรื่องสั้นเพื่อชีวิตจะมีมากถึงเพียงนี้ เขาเฝ้ามองกลุ่มคนที่เข้าไปพบปะพูดคุย บางคนเข้าไปมือเปล่าแต่มีหนังสือติดมือกลับออกมา บางคนเข้าไปมือเปล่าแล้วก็กลับออกมามือเปล่าแถมยังได้พูดคุยกับพี่เขาอยู่ได้นานสองนานอีกแน่ะ เขาถามตัวเองว่าแล้วจะมัวรอช้าอยู่ไย โอกาสที่จะได้พบพี่เขาไม่ง่ายนัก บางทีครั้งนี้อาจเป็นโอกาสแรกและโอกาสเดียวเท่านั้น!
แล้วจะเริ่มคุยกับพี่เขายังไงล่ะ? แนะนำตัว?… ไม่ใช่สิ ต้องสวัสดีก่อนแล้วถามสารทุกข์สุกดิบ จากนั้นก็ปล่อยให้มันลื่นไหลไป บางทีเขาอาจกล้าบอกพี่เขาว่าส่งเรื่องสั้นไปราหูอมจันทร์สองเรื่องแต่ไม่ผ่านสักเรื่อง เผื่อโชคดีพี่เขาจำนามปากกาและเรื่องสั้นทั้งสองได้อาจได้รับคำแนะนำดีๆ บ้างก็ได้ โอ้… หากได้คุยกับพี่เขาเท่านี้ก็นับว่าคุ้มและเป็นสิ่งมีค่าสมควรจะจดจำไปตราบนานเท่านาน อะไรจะวิเศษไปกว่าคำแนะนำในการเขียนหนังสือจากนักเขียนที่เขานับถือไม่มีอีกแล้ว
คิดได้ดังนั้นขาก้าวเดินอย่างอัตโนมัติ เป็นจังหวะเดียวกับพี่เขาลุกขึ้นจับมือกับนักเขียนดับเบิลซีไรต์แล้วเดินจากไป เขาชะงัก เหลียวมองตามหลังพี่เขาลับหายไปในกลุ่มคน ถอยกลับมายืนที่เดิม นึกเจ็บใจตัวเองที่มัวแต่พิรี้พิไรกลัวนั่นกลัวนี่ไม่เข้าเรื่อง
เขาเดินจากมาอย่างหงอยๆ นึกสงสัยไม่วายว่าหนังสือพี่เขาหายไปได้ยังไง เปิดกระเป๋าดูอีกครั้ง พระเจ้า! ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง จดหมายจากนักเขียนหนุ่มไม่ได้หายไปไหน! ก่อนที่เขาจะพิศวงมากไปกว่านั้นเสียงกริ่งดังแสบแก้วหูก็ระงมแทรกเข้ามา พลันภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับกลายเป็นนาฬิกาปลุก เขากดปุ่มปิดเสียง พยายามทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา…
“ผมควรจะได้คุยกับพี่…”
เขารำพึงรำพันอย่างสุดแสนเสียดายโอกาสที่หลุดลอยไป ·
๑๗ ก.ค. ๕๑
ประทีป จิตติ.
นานาทรรศนะ