ประทีป จิตติ

พูดด้วยการเขียน

เพื่อเราและคนรอบข้าง กันยายน 24, 2007

Filed under: ที่เห็นและเป็นไป© — ประทีป จิตติ @ 00:00

ปีที่๓, สัปดาห์ที่ ๒๘

เมื่อเร็วๆ นี้ได้ยินข่าวว่าทางการจะออกกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับยวดยานพาหนะ (อนุโลมให้ใช้อุปกรณ์เสริมชนิดที่ไม่ต้องแนบเครื่องโทรศัพท์ที่ใบหูได้) ถึงวันนี้ผมไม่ทราบว่ากฎหมายนี้ได้ออกประกาศใช้หรือยัง?…

จากที่ได้พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันยังคงเห็นคนขับรถไปและโทรศัพท์ไปด้วย การณ์นี้ก็มีทั้งรถยนต์ส่วนตัว รถสาธารณะทั้งสองล้อ สี่ล้อ น้อยรายนะครับที่จะใช้อุปกรณ์เสริม เห็นแล้วก็ได้แต่อิดหนาระอาใจ (และทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าแสดงความคิดเห็น)

ไม่เข้าใจว่า ‘พวกเขา’ มีธุระที่จะต้องคุยกันในเวลานั้นอะไรกันนักหนา?… คิดอย่างนี้มิใช่ว่าผมเองไม่มีโทรศัพท์แล้วเลยคิดพาลหาเรื่อง เพียงแต่มองว่าเขาไม่รู้จักความควรและไม่ควรในห้วงขณะนั้นแค่นั้น

ลำพังเพียงเราขับรถแล้วคุย (หรือต้องคอยตอบคำถาม) กับคนนั่งข้าง สมาธิที่จะต้องใช้ในการจดจ่อขับขี่ยวดยานก็ลดน้อยลง แต่ระดับการคุยที่เกิดขึ้นนาน ๆ ครั้งอาจไม่มีผลสักเท่าไหร่ ยังผลให้เรามีความตื่นตัว ไม่ง่วงเหงาหาวนอน (กรณีขับทางไกล) แต่หากเป็นการคุยที่นำพาไปสู่ความขัดแย้ง โต้เถียงกันเมื่อไหร่โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุน้อยใหญ่ก็เกิดได้ง่ายนิดเดียว เราจะรู้สึกหงุดหงิดกับยวดยานรอบข้างพาลก่นด่าทั้ง ๆ ที่ความจริงเขาอาจจะขับขี่อย่างปรกติ แต่ใจเรานั่นเองที่กลับผิดปรกติไปเสียแล้ว เมื่อหัวเสียก็พาลพาโลเอากับบุคคลที่สาม หรือบุคคลรอบข้าง…

แม้เราจะขับรถคนเดียวไม่มีคนนั่งมาด้วย แต่ถ้าลองได้คุยกันทางโทรศัพท์มันก็ไม่ต่างจากการคุยกันซึ่ง ๆ หน้าหรอกครับ ซ้ำร้ายหากถกถียงกันก็อาจเกิดอารมณ์โมโหร้ายได้มากกว่า เนื่องจากเป็นการพูดคุยกันที่ไม่เห็นหน้า พูดจาด่าทอกันได้ง่าย เพราะไม่ต้องกลัวอีกฝ่ายลงไม้ลงมือฟาดปาก ตบหน้าเอาได้

มีบ้างครับที่เคยพบเห็นคนใช้โทรศัพท์แล้วเกิดอารมณ์ร้าย (ไม่น่ารัก) เช่นนั้น คือผมเดินผ่านเขาเขาก็พ่นคำคำหนึ่งขึ้นมาทันที-สัตว์! ปิดท้ายด้วย-เหี้ย!

เขาผู้นั้นเป็นหญิงสาวในเครื่องแบบนักศึกษาครับ!

ได้ยินแล้วก็ตกใจว่าเธอด่าผมหรือ?… ด่าผมเรื่องอะไร?… ครั้นเมื่อหันไปมองก็พบว่าเธอนั้นกำลังคุยโทรศัพท์ (โดยมีอุปกรณ์ช่วยฟัง-ไม่ต้องแนบเครื่องที่ใบหู) เท่านั้นก็กระจ่างแก่ใจ เดินจากมาก็ยังได้ยินเธอก่นด่าคู่สนทนาอย่างไม่ขาดสาย จากการประเมินถ้อยคำที่เธอพรั่งพรูออกมาโดยไม่สนใจบุคคลรอบข้าง ให้ผมเดาฝ่ายนั้นคงเป็นคู่รักของเธอ และค่อนข้างเชื่อแน่ว่าฝ่ายนั้นคงตอบโต้ผรุสวาจาของเธอไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ก็ไม่แน่นักนะครับว่าหากเธอและเขาพูดกันซึ่งหน้าอาจจะไม่มีการพ่นสารพัดสัตว์ห่าเหวออกมาได้เช่นนั้น เพราะต่างฝ่ายอาจจะลงมือกันแล้ว หรือคิดในแง่ดีก็คงไม่กล้าด่าทอกันกลางถนน ยังคงมีความเกรงกลัว-เกรงใจกันระดับหนึ่งอยู่บ้าง

สิบกว่าปีก่อนผมได้ยินข่าวต่างประเทศรายงานสั้นว่า ๆ กระทาชายชาวสิงคโปร์คนหนึ่งเสียชีวิตเพราะใช้โทรศัพท์มือถือ-ฟังดูเหมือนเรื่องตลกใช่ไหมครับ แต่พอทราบรายละเอียดแล้วก็ขำไม่ออก ถึงขำได้ก็ขำได้อย่างแค่น ๆ เพราะมันกลายเป็นตลกร้ายในบัดดล…

ข่าวรายงานว่ากระทาชายคนนั้นเดินคุยโทรศัพท์ (ไม่ได้รายงานว่าเขาผู้นั้นมีอาการ ‘หัวเสีย’ หรือกำลัง ‘อินเลิฟ’ อยู่กับสาวใดแต่อย่างไร) ก้มหน้าก้มตาโดยไม่ดูตาม้าตาเรือเดินไปชนต้นไม้ที่ปลูกอยู่ริมถนน (ที่บางกอกก็มีเยอะครับ) ล้มหงายหลังหัวฟาดพื้น เลือดคั่งในสมองตาย…ฟังดูแล้วไม่น่าตายเลยใช่ไหมครับ-เวรกรรม!

ผมยังไม่เคยได้ยินข่าวทำนองนี้ในบ้านเรา แต่ก็มีบ้างในลักษณะคล้ายกันคือ ตกรถเมล์ตายบ้าง บาดเจ็บบ้าง สาเหตุเพราะระหว่างขึ้น-ลงรถก็ยังคุยโทรศัพท์พร้อมกันไปด้วย รถเมล์บางสายถึงกับติดประกาศ (ไม่ได้พ่นตัวอักษรสีแดง) บริเวณประตูรถว่า ‘กรุณางดใช้โทรศัพท์ขณะขึ้น-ลงรถ’ หากยังไม่เชื่อหรือไม่สนใจใคร่รู้คำวิงวอน บางครั้งพนักงานเก็บค่าโดยสารนี่ละครับจะเป็นผู้กล่าวเตือนกึ่งประจานป่าวร้องให้ได้หน้าม้าน (สำหรับบางคน) กันไป, น่าเห็นใจนะครับ เพราะหากว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาแล้วคงไม่พ้นที่คนขับรถจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย-นี่ก็ทำร้ายทำลายอนาคตผู้อื่นและชีวิตตนเองทางอ้อมเหมือนกัน…

สิงคโปร์เมื่อสิบปีก่อนโทรศัพท์เคลื่อนที่อาจกำลังเป็นที่นิยมซึ่งคงเหมือนกับบ้านเราในขณะนี้ แน่ละ-หากเป็นเช่นนั้นเขาย่อมประสบกับปัญหาการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ อันเกิดจากการใช้โทรศัพท์อย่างไม่ถูกที่ถูกเวลามาก่อนหน้าเรา เช่นการโทรศัพท์ในขณะขับยวดยานพาหนะนี่แหละ จึงต้องออกกฎหมายบังคับห้ามใช้ เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นนั้นมันมิได้ส่งผลกระทบต่อบุคคลที่ใช้เท่านั้น มันส่งผลต่อคนรอบข้างด้วย พาผู้อื่นบาดเจ็บล้มตายไปด้วย ไม่ต่างไปจากการการฆ่าโดยทางอ้อม กฎหมายไม่ยอมให้อภัยเพียงเพราะคำว่า ‘ไม่ได้เจตนา’ เพราะถือว่ามีการประชาสัมพันธ์เป็นที่รับรู้กันอย่างทั่วถึงกันแล้ว อย่างน้อย ๆ คุณก็ต้องทราบกฎและวินัยในการใช้รถใช้ถนนเป็นพื้นฐานอยู่แล้วว่า ‘ควร’ หรือ ‘ไม่ควร’ ทำอะไรในระหว่างขับรถ ฉะนั้นคำว่า ‘ไม่ได้เจตนา’ หรือจะบอกว่า ‘บกพร่องโดยสุจริต’ นั้นใช้ไม่ได้! แก้ตัวไม่ขึ้น!

ในระหว่างที่ติดตามข่าวทางการจะออกกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับยวดยานพาหนะนี้อย่างไม่ตั้งใจ ยังมีฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยว่าสมควรอนุโลมให้ใช้อุปกรณ์เสริมได้ เพราะนั่นยังคงเป็นปัจจัยความเสี่ยงต่อการจะเกิดอุบัติเหตุอยู่ดี-พูดง่าย ๆ ว่า ‘ห้ามใช้ทุกกรณี’ ไม่มีข้อยกเว้น

ถ้าหูผมไม่ฟาดฝ่ายนี้ได้ยกตัวอย่างประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวียก็ใช้กฎนี้อย่างเคร่งครัด อีกทั้งประชาชนก็ยอมรับเงื่อนไขปฏิบัติตามอย่างโดยดี แม้ว่าจะมีผู้ฝ่าฝืนบ้างก็ตาม ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากความเผลอไผลมากกว่าต่อต้าน

เมื่อประชาชนเขายอมรับก็สามารถมองได้อีกนัยหนึ่งว่า ชนเขาเล็งเห็นผลเสียมากกว่าได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการมีจิตสำนึกที่มีต่อสังคมที่ตนเองสังกัดร่วม ถามว่าจิตสำนึกนี้มาจากไหน เกิดขึ้นมาได้อย่างไร-ก็มาจากตัวคนนั่นเอง

ผมเชื่อว่าคนทุกคนต่างก็มีสำนึกกันทุกคน เพียงแต่ว่าจะกระตุ้นจะปลุกมันขึ้นมาอย่างไรก็เท่านั้น ซึ่งก็ใช่ว่าวิธีการนั้นจะไม่มี-มันมี ส่วนจะใช้ได้ผลเพียงใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความจริงจังในการกระทำก็เท่านั้น

หากข้อสรุปของทางการออกมาเป็น ‘ห้ามใช้ทุกกรณี’ จะมีผู้ออกมาโวยวายไม่เห็นด้วยกับกฎนี้หรือไม่ และจะมีเหตุผลคัดค้านที่ฟังดูแล้วน่าเห็นใจอย่างไร–

(หวังว่าคงไม่อ้างเรื่องสิทธิและเสรีภาพ เพราะคนในสังคมนี้มีสิ่งนั้นมากกว่าจะตระหนักถึง ‘หน้าที่’ เกินไปเสียแล้ว)

|| || || ||

ด้วยมิตรภาพ.

๑๘, ๒๐ ก.ย.๕๐

 

6 Responses to “เพื่อเราและคนรอบข้าง”

  1. tuleedin Says:

    ข้าพเจ้าก็หวิดม่องเท่ง
    เข้าห้องน้ำพลางคุยมือถือ
    ตอนนั้นข้อเท้าเดี้ยงเดินโยกเยกด้วยขาข้างครึ่ง
    ลื่นในห้องน้ำขอรับ
    ..
    ..
    ข้าข้างครึ่งพลิกขึ้นฟ้า
    เอาหน้าฟาดพื้น
    มือมันไม่รักดีเสือกรักมือถือกว่าหน้า
    เลยกลายเป็นเหมือนว่า
    เอาพื้นกระเบื้องแข็ง ๆ ฟาดศีรษะ
    ..
    ..
    อาการขาเดี้ยงเดินขาครึ่งหายเป็นปลิดทิ้ง
    เพราะข้าพเจ้าคลานสี่ขาออกมาจากห้องน้ำ
    ..
    ..
    ดีที่ยังไม่เหมือนเจ้าหนุ่มนั่น
    ไม่งั้นคงได้มีกฏหมายห้ามคุยมือถือในห้องน้ำ
    ทุกวันนี้เมาทีไรข้าพเจ้ายังปวดขมับซ้ายไม่วาย
    ..
    ..
    จากบทเรียน่ครั้งนั้น
    ทำให้ข้าพเจ้าได้อาการของโรคชนิดใหม่ที่เพิ่งเคยค้นพบครั้งแรกในประเทศไทย

    “โรค(มนุษย์)กลัว(ห้อง)น้ำ!”

  2. โหท่าน ...ดิลลลลล

    อตร.มากเลยนะนั่นการลื่นในห้องน้ำ...

    อตร.กว่าลื่นลงอ่าง...
    😀

  3. ningnung Says:

    ท่านพี่

    เขียนได้ยาวเฟื้อยขนาดนี้ ไฉนจึงยังหมดเรี่ยวแรง(ใจ)ในการปั่นต้นฉบับโจนาธานเจ้าคะ

    เขียนมาหน่อยน่า นะนะ

    อ้อ..ลืมไปว่าลาพักร้อน ฉบับนี้ยกให้ ฉบับหน้าถ้ายังไม่กลับล่ะก็ สวย!

  4. สวย...ต๊ายตายแม่คุนหนุงหนิง

    ไม่สวยได้มั้ย สวยให้ท่าน

    แต่หล่อก็ไม่เอา

    ไม่เอา ๆ ๆ

    ขอแบบนี้แหละ...

    ป.ล. เขียนยาวหรือฮะ-ไม่หรอก สองหน้าเท่านั้น มาตรฐาน ไอ้โซ่

  5. คาใจ Says:

    ท่านน้องเคยเห็นคนใช้เเบบ “บลูธูท” โอเคว่าแบบนั้นมันไม่ต้องถือให้เมื่อยมือ
    ทำใหวิสัยการหยิบจับอะไรก็ง่าย ….. แต่ท่านพี่

    ที่ท่านน้องเห็นนั้นเป็นการใส่ บลูธูท แล้วเดินธรรมดา

    ตอนแรกก็ว่า … เฮ้ย ..ตาลุงคนนนี้เป็นบ้าหรือไง คุยคนเดียวน่ากลัว

    แต่ปรากฎว่า ท่านลุงคนนั้นใช้บลูธูท กำลังคุยกับอีกฟากของสาย

    เฮ้อ ที่จริง แม้ว่าจะใช้เเบบนั้นแล้วมันปลอดภัยก็เถอะ แต่ท่านน้องว่ามันก็เสี่ยงกับการถูกมองว่า

    เสียสติคุยอยู่ได้คนเดียวและ

    พาลจะเสียจริตเอาด้วยน่ะท่านพี่ !!!

  6. ประทีป จิตติ Says:

    😀

    พบเห็นแบบนั้นทุกวัน

    ทั้งฟังเพลง ทั้งคุยโทรศัพท์

    ผมไม่เดือดร้อนอะไรกับเขาหรอกครับ

    แต่เสียงดังจนน่ารำคาญ

    ได้แต่ปลอบตัวเองให้เย็นไว้... แล้วตั้งใจอ่านหนังสือต่อ (บนรถ) ไม่ก็อาจได้พล็อตเรื่องสั้นสักเรื่อง (ได้ไปแล้ว)

    ในความน่ารำคาญกลับมีประโยชน์ต่อเราได้...ก็ว่ากันไป

    สุดแต่ใจจะมองเห็นหรอืไม่?...


ใส่ความเห็น